KPI คืออะไร RPA ช่วยสนับสนุนงาน

KPI (Key Performance Indicator) คืออะไร? RPA มีบทบาทอย่างไร

การมี KPI ที่ชัดเจนทำให้องค์กรรู้ว่าเป้าหมายหลักคืออะไร ต้องทำอะไรให้สำเร็จ และจะวัดความสำเร็จจากอะไร การกำหนด Key Performance Indicator ยังช่วยลดความคลุมเครือในการทำงานเพราะทุกคนเข้าใจสิ่งที่ต้องทำเหมือนกัน อีกทั้งยังช่วยสร้างแรงจูงใจ เพราะทุกคนสามารถเห็นความก้าวหน้าของตัวเองและทีมได้เป็นรูปธรรม ตัวอย่างเช่น ยอดขายต่อเดือน จำนวนลูกค้าที่กลับมาใช้บริการ หรือ ระยะเวลาเฉลี่ยในการให้บริการลูกค้า

RPA (Robotic Process Automation) เข้ามาช่วยสนับสนุน สามารถดึงข้อมูลจากหลายระบบ ตรวจสอบความถูกต้อง และอัปเดตรายงานผล KPI ให้ทันสมัยอยู่เสมอ

KPI คืออะไร

KPI หรือ Key Performance Indicator คือตัวชี้วัดความสำเร็จที่ใช้บอกว่าองค์กร ทีม หรือพนักงานกำลังเดินไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ดีแค่ไหน เปรียบเสมือนเข็มทิศทางธุรกิจที่ช่วยให้ทุกคนโฟกัสงานสำคัญและรู้ว่าผลลัพธ์ของการทำงานคืบหน้าไปมากน้อยเพียงใด สรุปคือเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยประเมินประสิทธิภาพ วางทิศทาง และตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่ชัดเจน

การมี KPI ที่ชัดเจนช่วยลดความคลุมเครือในการทำงาน เพราะทุกคนเข้าใจตรงกันว่าความสำเร็จหน้าตาเป็นอย่างไร และควรทุ่มเททรัพยากรไปที่จุดใด นอกจากนี้ KPI ยังช่วยให้ผู้บริหารติดตามผลงานได้อย่างเป็นระบบ มองเห็นปัญหาได้เร็ว และปรับกลยุทธ์ได้ทันเวลา ทำให้การบริหารองค์กรมีทิศทางชัดเจนและพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง

จุดประสงค์หลักของการใช้ KPI

จุดประสงค์หลักของการใช้ KPI

  • เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าเป้าหมายคืออะไร และต้องทำให้สำเร็จแบบไหน
  • ใช้บอกว่าเรากำลังขับเคลื่อนธุรกิจไปถูกทางหรือไม่
  • ทำให้โฟกัสกับงานที่สำคัญจริง ๆ ไม่หลงไปกับงานจิปาถะ
  • มองเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ความพยายามที่ลงไป
  • ช่วยตรวจจับปัญหาได้เร็ว ไม่ต้องรอให้เสียหายใหญ่ก่อน
  • ทำให้การประเมินงานเป็นธรรม เพราะวัดจากข้อมูลจริง
  • ใช้ประกอบการตัดสินใจ เช่น วางแผน ใช้งบ เพิ่มทรัพยากร
  • สร้างความรับผิดชอบและความโปร่งใสในทีม
  • ผลักดันให้พัฒนาการทำงานให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • ทำให้ทุกฝ่ายเดินไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ต่างคนต่างคิด

ปัญหาที่พบบ่อยในการใช้ KPI

  • ตั้ง KPI แบบกว้าง ไม่ชัดเจน หรือเป้าหมายคลุมเครือ
  • KPI มากเกินไป วัดทุกอย่างจนไม่รู้ว่าอะไรสำคัญ
  • วัดกิจกรรมแทนผลลัพธ์ เช่น นับจำนวนโทรหรือจำนวนการประชุม
  • ตั้งตัวเลขแบบเดา ไม่อิงข้อมูลจริง
  • ไม่มีระบบเก็บข้อมูลที่ดี ต้องกรอกข้อมูลด้วยมือ ตัวเลขผิดบ่อย
  • ติดตามผลไม่สม่ำเสมอ ดูเฉพาะตอนใกล้ประเมินผล
ปัญหาที่พบบ่อยในการใช้ KPI วัดผล

ประเภทของ KPI

สามารถแบ่ง KPI ได้เป็นหลายแบบ แต่การแบ่งตามระดับการใช้งานในองค์กร ตั้งแต่ภาพรวมบริษัท ไปจนถึงงานของแต่ละคน การแบ่งลักษณะนี้ช่วยให้ทุกระดับสอดประสานกัน ไม่เกิดสถานการณ์ที่องค์กรอยากไปทางหนึ่ง แต่ทีมทำอีกอย่าง และพนักงานทำอีกอย่าง

KPI ระดับองค์กร

ระดับองค์กรเป็นเป้าหมายใหญ่ที่สะท้อนภาพรวมความสำเร็จของบริษัท เช่น รายได้ กำไร อัตราการเติบโต หรือคะแนนความพึงพอใจของลูกค้า ผู้บริหารใช้สำหรับดูทิศทางธุรกิจว่าดำเนินงานไปถูกทางหรือไม่ ตัวเลขเหล่านี้มักถูกนำเสนอในที่ประชุมผู้บริหารและใช้ประกอบการวางกลยุทธ์ประจำปี

KPI ระดับแผนก

ระดับแผนกคือเป้าหมายที่แบ่งออกตามหน้าที่ของแต่ละทีม เพื่อสนับสนุนเป้าหมายใหญ่ของบริษัท เช่น ทีมการตลาดอาจมีตัวชี้วัดด้านจำนวนลูกค้าใหม่หรือจำนวนคนที่สนใจสินค้า ฝ่ายบริการลูกค้าอาจวัดด้วยเวลาในการตอบกลับ ส่วนฝ่ายบัญชีอาจดูรอบปิดงบการเงินและความถูกต้องของข้อมูล

KPI ระดับบุคคล

ระดับบุคคลใช้สำหรับวัดผลงานพนักงาน เพื่อให้เห็นชัดเจนว่าแต่ละตำแหน่งต้องส่งมอบผลงานอะไรและทำให้ทีมประสบความสำเร็จได้อย่างไร ตัวชี้วัดควรเชื่อมโยงกับงานจริง เช่น การวัดผลของพนักงานบริการไม่ควรใช้ยอดขายในการวัดผล เมื่อทุกคนเข้าใจเป้าหมายของงานจะช่วยผลักดันองค์กรให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน

ความแตกต่างระหว่าง KPI และ OKR

KPI และ OKR เป็นเครื่องมือกำหนดเป้าหมายที่หลายองค์กรใช้ร่วมกัน แต่หน้าที่และแนวคิดการใช้งานไม่เหมือนกัน KPI ใช้เพื่อติดตามผลการทำงานปัจจุบันว่าได้มาตรฐานหรือไม่ เหมาะกับงานที่ต้องควบคุมคุณภาพและประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง OKR เน้นความท้าทายและการสร้างความเปลี่ยนแปลง เพื่อผลักดันให้เติบโตหรือก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม

ขั้นตอนการกำหนด KPI

ขั้นตอนการกำหนด KPI ที่เป็นระบบ เริ่มตั้งแต่การกำเป้าหมายใหญ่ขององค์กร ไปจนถึงการแยกตัวชี้วัดลงมาสู่แต่ละทีมและบุคคล เพื่อให้ทุกคนทำงานไปในทิศทางเดียวกัน และรู้ชัดว่าผลงานของตนเองมีส่วนช่วยผลักดันธุรกิจอย่างไร

วิเคราะห์เป้าหมายหลักขององค์กร

ก่อนจะตั้ง KPI ต้องเริ่มจากการตอบให้ได้ว่าปีนี้ธุรกิจต้องการเห็นผลลัพธ์แบบไหน เป้าหมายหลักควรเป็นภาพที่ทุกคนในองค์กรเข้าใจตรงกัน เช่น ต้องการขยายตลาด เพิ่มรายได้ สร้างลูกค้าใหม่ เสริมประสิทธิภาพการทำงาน หรือทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำมากขึ้น เมื่อกำหนดทิศทางใหญ่ได้แล้ว สิ่งที่ตามมาคือการระบุให้เป็นตัวเลขหรือเงื่อนไขที่วัดได้

แยกเป็นเป้าหมายย่อยในแต่ละแผนก

การแบ่งเป้าหมายให้อยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละแผนกอย่างชัดเจน เพื่อให้ทุกส่วนมีบทบาทร่วมกันในการขับเคลื่อนภาพใหญ่ เป้าหมายระดับแผนกควรสอดคล้องกับทิศทางของบริษัท ไม่ใช่ทำงานแยกส่วนหรือมุ่งเน้นเฉพาะงานของตัวเองโดยไม่เชื่อมโยงกับผลรวมของธุรกิจ การแยกเป้าหมายควรใช้ข้อมูลจริงเป็นหลัก

กำหนดตัวชี้วัดที่สามารถวัดผลได้จริง

การเลือกตัวชี้วัดที่พิสูจน์ได้จริง การกำหนดตัวชี้วัดไม่ควรประเมินแบบคาดเดา แต่ต้องเป็นค่าที่ตรวจสอบได้จากข้อมูลเชิงหลักฐาน เช่น จำนวนลูกค้าใหม่ อัตราการแปลงยอดขาย หรือระยะเวลาการตอบกลับลูกค้า ตัวชี้วัดที่ดีต้องช่วยให้รู้ว่าผลงานกำลังเดินไปถูกทิศทางหรือไม่ และนำไปสู่การตัดสินใจปรับปรุงได้อย่างมีเหตุผล

ตั้งค่ามาตรฐานเป้าหมาย

การกำหนดค่าเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดขึ้นจริง เป้าหมายต้องเป็นตัวเลขที่ชัดเจน เช่น เพิ่มยอดขาย 15% ภายในไตรมาสนี้ หรือรักษาระดับความพึงพอใจลูกค้าให้ไม่ต่ำกว่า 4.5 คะแนน การตั้งค่าเป้าหมายต้องมีเหตุผลรองรับ ควรอ้างอิงข้อมูล เช่น ผลงานเดิม สถานการณ์ตลาด ความสามารถของทีม และทรัพยากรที่มี

ตรวจสอบความสอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร

เมื่อกำหนด KPI เสร็จเรียบร้อย ขั้นตอนสำคัญการตรวจสอบว่าตัวชี้วัดทั้งหมดเชื่อมโยงกับทิศทางธุรกิจจริงหรือไม่ การตรวจสอบความสอดคล้องควรเริ่มจากคำถาม เช่น KPI ตัวนี้ช่วยผลักดันเป้าหมายใหญ่ขององค์กรอย่างไร? ถ้าบรรลุ KPI ตัวนี้ จะสร้างผลลัพธ์อะไรที่เป็นรูปธรรม? มี KPI ตัวไหนที่ตั้งไว้แล้วไม่เกี่ยวกับธุรกิจจริงหรือไม่?

แนวทางพัฒนาและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพ

แนวทางพัฒนาและปรับปรุง KPI ให้มีประสิทธิภาพ

  • ใช้ระบบอัตโนมัติในการเก็บข้อมูล KPI – ลดงานกรอกข้อมูลด้วยมือ โดยใช้ RPA หรือระบบเชื่อมต่อข้อมูล ช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดภาระทีม
  • ใช้ AI วิเคราะห์แนวโน้มและความเสี่ยง – AI สามารถช่วยคาดการณ์ เช่น ยอดขายจะตกหรือคุณภาพบริการเริ่มลด เพื่อวางแผนตอบสนองล่วงหน้า
  • ทำ Dashboard สำหรับติดตามผลแบบเรียลไทม์ – ให้ผู้บริหารและทีมเห็นตัวเลขชัดเจน ไม่ต้องรอรายงานปลายเดือน ทำให้ตัดสินใจได้รวดเร็วกว่าเดิม

บทบาทของ RPA ในงาน KPI

  • ไม่ต้องให้คนคีย์ข้อมูลเอง RPA ดึงข้อมูลจาก ERP, CRM, Excel, ระบบบัญชี หรือไฟล์รายงานอัตโนมัติ
  • ช่วยเช็กความถูกต้องของตัวเลข ลดความผิดพลาดจากการกรอกหรือคัดลอกข้อมูล
  • ดึงข้อมูลประจำวัน/ประจำชั่วโมง แล้วส่งเข้าระบบรายงานทันที
  • สร้างรายงาน KPI ตามรอบเวลาอัตโนมัติ เช่น รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน ทำไฟล์รายงานและส่งให้ผู้บริหาร
  • แจ้งเตือนเมื่อ KPI ผิดปกติ เช่น ถ้ายอดขายลดเกิน 10% หรือคะแนนบริการตก ระบบแจ้งเตือนทันทีให้ทีมรับรู้
บทบาทของ RPA ในงาน เช่น ไม่ต้องให้คนคีย์ข้อมูล

FAQ – คำถามที่พบบ่อย

KPI คือ “ตัวชี้วัดความสำเร็จ” ที่ใช้บอกว่างานที่ทำอยู่เดินไปถึงเป้าหมายหรือยัง ไม่ใช่วัดว่าทำงานหนักแค่ไหน แต่วัดว่า “ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการหรือไม่” เช่น ยอดขาย ความเร็วในการให้บริการ หรือความพึงพอใจของลูกค้า

จำเป็นในระดับหนึ่ง แต่ต้องตั้งให้เหมาะกับหน้าที่จริงของแต่ละตำแหน่ง ไม่ใช่ใช้ KPI เดียวกันทุกคน เช่น พนักงานบริการควรวัดจากคุณภาพและความเร็ว ไม่ใช่ยอดขาย การตั้ง KPI ที่ตรงงานจะช่วยให้พนักงานเข้าใจบทบาทของตัวเองชัดเจนขึ้น

  • วัดผลได้จริง มีข้อมูลรองรับ
  • ชัดเจน ไม่คลุมเครือ
  • เชื่อมโยงกับเป้าหมายองค์กร
  • ไม่มากเกินไปจนโฟกัสไม่ถูก
  • เมื่อเห็นตัวเลขแล้ว “รู้ทันทีว่าควรปรับอะไร”
  • KPI ใช้วัดผลงานประจำ คุมมาตรฐาน และความสม่ำเสมอ
  • OKR ใช้ตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย เพื่อผลักดันการเติบโตหรือการเปลี่ยนแปลง
    หลายองค์กรใช้ KPI ควบคุมงานหลัก และใช้ OKR สำหรับเป้าหมายใหม่หรือโปรเจกต์พิเศษ

RPA ช่วยดึงข้อมูลจากหลายระบบอัตโนมัติ เช่น ERP, CRM, Excel

  • ลดการคีย์ข้อมูลด้วยมือ
  • ลดความผิดพลาดของตัวเลข
  • อัปเดตรายงาน KPI แบบเรียลไทม์
  • แจ้งเตือนทันทีเมื่อ KPI ผิดปกติ

ทำให้ KPI เป็นข้อมูลที่ใช้งานได้จริง ไม่ใช่แค่รายงานปลายเดือน

Facebook
LinkedIn
x.com