Web Scraping

Web Scraping คืออะไร? เครื่องมือที่ใช้ดึงข้อมูลจากเว็บไซต์

การเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลาเป็นปัจจัยสำคัญในการทำธุรกิจ Web Scraping ช่วยเก็บข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ราคาสินค้า รีวิวลูกค้า หรือข้อมูลคู่แข่ง เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้สามารถรวบรวมได้ในระยะเวลาอันสั้น และนำมาใช้งานต่อได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลารวบรวมเองด้วยมือ นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าให้ทำงานอัตโนมัติแบบรายวัน หรือแบบเรียลไทม์ ทำให้องค์กรมีข้อมูลอัปเดตอยู่เสมอ ส่งผลให้การตัดสินใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Web Scraping ยังช่วยให้ธุรกิจมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจนขึ้น เช่น ใช้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคา โปรโมชัน หรือเทรนด์สินค้าที่กำลังมาแรง เมื่อมีข้อมูลจากหลายแหล่งมารวมกันในที่เดียว เราสามารถนำไปวิเคราะห์ต่อ เช่น ทำ Dashboard, รายงานสรุป หรือใช้เป็นฐานในการวางแผนกลยุทธ์การตลาดและการตั้งราคาขายได้อย่างมั่นใจ

นอกจากนี้ ยังช่วยให้การทำงานภายในองค์กรลดความซับซ้อน เพราะลดงานที่ต้องเก็บข้อมูลซ้ำๆ ทุกวัน เช่น การเช็คราคาคู่แข่ง หรือคอยดึงข้อมูลยอดขายจากหลายแพลตฟอร์ม เมื่อให้ระบบทำงานแทน พนักงานจะมีเวลาไปโฟกัสสิ่งที่สำคัญ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือการดูแลลูกค้า

ความหมายของ Web Scraping

Web Scraping หมายถึง กระบวนการเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ในรูปแบบอัตโนมัติ โดยอาศัยเครื่องมือเฉพาะทางในการเข้าถึงหน้าเว็บ วิเคราะห์โครงสร้างข้อมูล แล้วดึงเฉพาะข้อมูลที่ต้องการออกมาในรูปแบบที่สามารถนำไปใช้งานต่อได้ เช่น Excel, CSV, JSON หรือฐานข้อมูลขององค์กร

ทำไมธุรกิจต้องใช้ Web Scraping

เครื่องมือที่ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ การดึงข้อมูลบนเว็บไซต์อย่างถูกต้องช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้ดียิ่งขึ้น และสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง

รูปแบบของ Web Scraping

การทำ Web Scraping มีหลากหลายแนวทาง ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการทำ ปริมาณความรู้ ทักษะที่มี และข้อจำกัดของเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยหลักแล้วแบ่งรูปแบบออกเป็น 5 แบบ ดังนี้

การเก็บข้อมูลด้วยมือ

การเก็บข้อมูลด้วยมือ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บข้อมูลจำนวนไม่เยอะ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องเขียนโค้ด หรือติดตั้งโปรแกรมใด ๆ เช่น Copy ข้อมูลจากบนเว็บไซต์ที่ต้องการ แล้วนำไปวางในโปรแกรม Word หรือ Excel เพื่อใช้งานในภายหลัง

การใช้เครื่องมือสำเร็จรูป (No-code)

การใช้โปรแกรมในการดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เป็นตัวเลือกที่นิยมและสะดวกอย่างมาก เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้พื้นฐานด้านการเขียนโค้ด โดยเครื่องมือเหล่านี้สามารถกำหนดไว้ว่าต้องการดึงส่วนไหนของเว็บไซต์ เช่น ชื่อสินค้า ราคา หรือรูปภาพ

การเขียนโค้ดเพื่อดึงข้อมูล

รูปแบบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีความรู้พื้นฐานด้านการเขียนโค้ดและต้องการความยืดหยุ่นในการดึงข้อมูล สามารถจัดการกับข้อมูลขนาดใหญ่ ทำงานอัตโนมัติซ้ำ ๆ ได้ แต่ต้องใช้เวลาในการเขียนโค้ดให้ถูกต้อง รวมถึงจัดการกับข้อจำกัดของเว็บไซต์ต่าง ๆ

การดึงข้อมูลผ่าน API

การเข้าถึงข้อมูลเว็บไซต์ผ่าน API เป็นวิธีที่ถูกต้อง รวดเร็ว และแม่นยำมากที่สุด ยกตัวอย่าง เว็บไซต์สภาพอากาศเปิดให้ผู้รับข้อมูลส่ง Request ผ่านเครื่องมือ Postman แล้วข้อมูลจะถูกส่งกลับไปเป็นรูปแบบ JSON เพื่อนำไปใช้งานได้ต่อทันที

การใช้ระบบอัตโนมัติ RPA

การใช้เทคโนโลยี RPA จำลองการทำงานของมนุษย์ เช่น เปิด Browser Chrome > เข้า URL หลังบ้านเว็บไซต์ > ทำการ Login > คลิกปุ่มเข้าหน้าที่ต้องการ > คัดลอกข้อมูล > นำข้อมูลมาวางลง Excel โดยไม่ต้องเขียนโค้ด เพียงแค่ผู้ให้บริการ RPA กำหนดการทำงานของบอท

เครื่องมือที่ใช้สำหรับ Web Scraping

  • เครื่องมือ No-code หรือ Low-code เช่น ParseHub, Octoparse หรือ ส่วนขยาย Web Scraper บน Chrome
  • เขียนโค้ดด้วยภาษา Python หรือ JavaScript (เช่น Node.js)
  • ดึงข้อมูลผ่านการเชื่อมต่อ API โดยใช้เครื่องมือ Postman, Insomnia หรือ cURL
  • RPA มีเครื่องมือให้เลือกหลากหลาย ตัวอย่างเช่น OrangeWorkforce, UiPath หรือ Power Automate เป็นต้น
  • เครื่องมือบน Cloud เช่น Apify, Zyte หรือ Bright Data
เครื่องมือที่ใช้ดึงข้อมูลเว็บ
วิธีการทำ Web Scraping

วิธีการทำ Web Scraping

  1. วิเคราะห์ว่าต้องการข้อมูลอะไร และนำไปใช้งานอะไร จากนั้นสำรวจโครงสร้างของเว็บไซต์ที่ต้องการดึงข้อมูล
  2. ตรวจเช็คข้อจำกัดทางด้านกฎหมายและไฟล์ robots.txt ว่ามีนโยบายและอนุญาตให้ทำการ Scraping หรือไม่ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ละเมิดข้อกำหนดของเว็บไซต์นั้น
  3. เลือกเครื่องมือหรือวิธีการที่เหมาะสม เช่น การเก็บข้อมูลด้วยมือ การใช้เครื่องมือ No-code หรือใช้เทคโนโลยี RPA ช่วยรวบรวมข้อมูล
  4. ตั้งค่ากระบวนการดึง ถ้าเป็นการเขียนโค้ด จะต้องวางโครงสร้างเพื่อให้เข้าถึงหน้าเว็บ ดึงข้อมูลที่ต้องการ และจัดรูปแบบให้อยู่ในโครงสร้างที่ใช้งานต่อได้
  5. หลังจากได้ข้อมูลเรียบร้อยแล้ว จำเป็นต้องตรวจสอบความถูกต้อง และครบถ้วน จากนั้นเก็บไว้ในระบบขององค์กร
  6. ขั้นตอนสุดท้ายเหมาะสำหรับต้องเก็บข้อมูลเป็นประจำ ตั้งค่าให้กระบวนการทำงานอัตโนมัติตามเวลาที่กำหนด

ตัวอย่างการใช้จริง

ต่อไปนี้คือตัวอย่างการใช้ที่เกิดขึ้นบ่อยจากสถานการณ์จริง เพื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์การตลาด ติดตามราคาคู่แข่ง หรือปรับกลยุทธ์ขององค์กร

เช็คราคาบนเว็บ E-Commerce

การใช้งานที่พบบ่อยมากที่สุด คือการเปรียบเทียบราคาสินค้าบนเว็บอีคอมเมิร์ซ โดยใช้เครื่องมือเข้าไปดึงข้อมูลโปรโมชั่นและราคาสินค้าแต่ละตัว เพื่อนำมาทำตารางเปรียบเทียบ การมีข้อมูลราคาและข้อมูลโปรโมชั่นจากหลายแหล่ง เพื่อนำมาปรับราคาของตนเองให้แข่งขันกับตลาดได้ นอกจากนี้ยังใช้ข้อมูลนี้วิเคราะห์พฤติกรรมการตั้งราคาของคู่แข่ง เช่น ช่วงเวลาที่ปรับราคา หรือสินค้าที่ทำโปรโมชั่นบ่อย

เช็คราคารถ ราคาตลาด

ในอุตสาหกรรมรถยนต์มือสอง ถูกนำมาใช้เพื่อเช็คราคากลางของรถยนต์มือสองจากหลายแหล่งข้อมูล เช่น เว็บไซต์ประกาศขายรถมือสอง หรือแพลตฟอร์มประกาศซื้อ-ขายรถยนต์ โดยข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้บริษัทประเมินราคา หรือเต็นท์รถมือสองรู้ได้ทันทีว่ารถแต่ละรุ่นราคาเท่าไหร่ มีแนวโน้มไปในทิศทางไหน จะได้วางกลยุทธ์การตั้งราคาได้แม่นยำ ไม่ต้องพึ่งพาการตรวจสอบด้วยมือ เสี่ยงเกิดข้อผิดพลาด

เช็คราคาโรงแรมคู่แข่ง

ในธุรกิจตัวแทนรับจองที่พัก เช่น Booking.com, Agoda หรือ Expedia การติดตามราคาแต่ละโรงแรมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะลูกค้าจะเปรียบเทียบราคาแต่ละเว็บ และทำการจองจากเว็บที่มีราคาดีที่สุด สามารถตั้งค่าให้ทำงานอัตโนมัติทุกวัน เพื่อเก็บข้อมูลราคาคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้รักษาความสามารถในการแข่งขัน ส่งผลต่ออัตราการจอง และตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้อีกด้วย

ประโยชน์ในภาคธุรกิจ

ประโยชน์ในภาคธุรกิจ

  1. ช่วยวิเคราะห์ตลาดและคู่แข่ง โดยดึงราคาและรายการสินค้าของคู่แข่งมาเปรียบเทียบกับราคาสินค้าของเรา เพื่อปรับกลยุทธ์การนำเสนอสินค้าในรูปแบบใหม่
  2. ช่วยเก็บข้อมูลเพื่อใช้สำหรับการทำวิจัย ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลการซื้อสินค้า รีวิวจากผู้บริโภค หรือบทความเชิงลึกต่าง ๆ
  3. สามารถดึงข้อมูลตามเวลาที่กำหนด แล้วส่งเข้าระบบขององค์กร ลดการกรอกข้อมูลด้วยมือ และลดความผิดพลาด
  4. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ จากข้อมูลที่หลากหลายแหล่ง ทำให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจและวางกลยุทธ์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น

ข้อควรระวังในการทำ Web Scraping

ปัญหาทางกฎหมาย

ข้อมูลบนเว็บไซต์เป็นข้อมูลที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ แต่ก็ไม่สามารถดึงข้อมูลมาใช้งานได้ตามต้องการ เว็บไซต์ส่วนใหญ่จะมีเงื่อนไขการใช้งาน ที่ระบุชัดเจนว่าห้ามเก็บข้อมูลไปใช้ในเชิงธุรกิจ หากองค์กรใดละเมิดข้อจำกัดดังกล่าว อาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

ไม่สามารถดึงข้อมูลได้ทุกเว็บ

ไม่ใช่ว่าทุกเว็บไซต์สามารถทำ Web Scraping ได้ หากไม่ตรวจสอบไฟล์ robots.txt ให้ดีก่อน ส่งผลให้การทำ Scraping ไม่สำเร็จ หรืออาจทำให้องค์กรโดนบล็อก IP นอกจากนี้บางเว็บไซต์มีระบบป้องกันบอท เช่น CAPTCHA หรือจำกัดจำนวน Request ต่อ IP

สรุป

Web Scraping เป็นกระบวนการดึงข้อมูลจากเว็บไซต์แบบอัตโนมัติ แล้วเก็บเฉพาะข้อมูลที่ต้องการออกมาให้อยู่ในรูปแบบที่นำไปใช้ต่อได้ เช่น Excel, CSV, JSON ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงข้อมูลจำนวนมากได้รวดเร็ว แม่นยำ และอัปเดตอยู่เสมอ

ในทางธุรกิจมักใช้เพื่อเปรียบเทียบราคาสินค้าบนเว็บ E-Commerce, เช็คราคากลางจากหลายแพลตฟอร์ม หรือดูราคาคู่แข่งเพื่อปรับกลยุทธ์ และใช้ประกอบการวางแผนการตลาด ข้อดีสำคัญคือช่วยลดงานกรอกข้อมูลด้วยมือ ลดความผิดพลาด และทำให้ผู้บริหารมีข้อมูลจริงจากหลายแหล่งมาช่วยตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การ Scraping ต้องระวังเรื่องกฎหมายและข้อกำหนดของเว็บไซต์ รวมถึงระบบป้องกันบอทต่าง ๆ เพราะไม่ใช่ทุกเว็บจะอนุญาตให้ดึงข้อมูลไปใช้เชิงธุรกิจ หากละเมิดอาจถูกบล็อกหรือถูกดำเนินคดีได้ ดังนั้นการดึงข้อมูลที่ดีต้องทั้งได้ข้อมูลครบ และ ไม่เสี่ยงผิดกฎหมาย ไปพร้อมกัน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

สามารถเก็บข้อมูลได้เกือบทุกประเภทที่แสดงอยู่บนหน้าเว็บไซต์ เช่น ราคาสินค้า รายละเอียดสินค้า รีวิวลูกค้า ข่าวสาร บทความ ตารางข้อมูล รูปภาพ รายชื่อสินค้า รวมถึงข้อมูลเชิงสถิติหรือข้อมูลดิบที่ปรากฏบน Dashboard ของบางเว็บไซต์ ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและการอนุญาตของเว็บนั้น ๆ

สามารถใช้แทนได้ในหลายกรณี เพราะข้อมูลที่ Scraping มา เช่น ราคา คู่แข่ง ปริมาณรีวิว หรือกระแสสินค้า สามารถสะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดได้ดี แต่หากต้องการข้อมูลที่ลึก เช่น ความคิดเห็นเชิงคุณภาพ ก็อาจต้องใช้การวิจัยเชิงสำรวจ หรือการสัมภาษณ์เพิ่มเติมร่วมด้วย

ทำได้ 100% แบบ Full Automation หากออกแบบ Workflow ได้ดี เช่น

  1. ดึงข้อมูลอัตโนมัติตามเวลาที่กำหนด
  2. ทำความสะอาดข้อมูล
  3. แปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบใช้งาน เช่น CSV, JSON
  4. อัปโหลดเข้าฐานข้อมูลหรือ BI Dashboard
  5. แจ้งเตือนผ่านอีเมลหรือ Line OA เหมาะกับงานที่ต้องทำทุกวัน เช่น เช็คราคาคู่แข่ง หรือดึงยอดขายรายวัน
  • Web Scraping คือการดึงข้อมูลจากหน้าเว็บโดยตรง เช่น HTML แล้วค่อยนำมาวิเคราะห์/แยกข้อมูลที่ต้องการ มีความยืดหยุ่น และข้อมูลเรียลไทม์
  • API คือช่องทางที่เว็บไซต์เปิดเรียกใช้ข้อมูลโดยตรงในรูปแบบที่จัดเตรียมไว้ เช่น JSON
    ที่ข้อมูลมีโครงสร้างชัดเจน และมักถูกต้องตามเงื่อนไขที่เจ้าของระบบอนุญาต

ไม่จำเป็น แต่ถ้าธุรกิจไหนที่ใช้เป็นจะมีความได้เปรียบอย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจที่

  • ต้องเช็คราคาคู่แข่งบ่อย ๆ
  • ทำตลาดออนไลน์ แข่งเรื่องราคาและโปรโมชัน
  • ต้องวิเคราะห์รีวิวลูกค้าหรือเทรนด์สินค้า
Facebook
LinkedIn
x.com