RPA คืออะไร

RPA คืออะไร ประโยชน์ที่องค์กรได้รับจาก Robotic Process Automation

เครื่องมือสำคัญในยุคที่ต้องแข่งขันกับเวลาและความแม่นยำ RPA ช่วยลดความผิดพลาดในการทำงาน โดย Robotic Process Automation เข้ามาช่วยงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ ให้เสร็จไวขึ้น ถ้าเทียบกับการทำงานของพนักงาน ซึ่งปัจจุบันหุ่นยนต์ซอฟต์แวร์อัตโนมัติถูกนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน การธนาคาร ประกันภัย โลจิสติกส์ การผลิต รวมถึงหน่วยงานราชการและองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ช่วยให้องค์กรสามารถลดภาระงานที่ต้องใช้เวลานาน ทำให้พนักงานมีเวลามากขึ้นในการโฟกัสงานที่ต้องใช้ทักษะขั้นสูง การคิดวิเคราะห์ และการดูแลลูกค้า ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าและประสิทธิผลทางธุรกิจได้อย่างชัดเจน

RPA คืออะไร

RPA คือหุ่นยนต์ซอฟต์แวร์ที่ทำงานในกระบวนการซ้ำ ๆ เดิม ๆ มีหลักการทำงานชัดเจน (Rule-based) หรืองานที่ต้องการประมวลผลข้อมูลที่มีปริมาณมาก โดยบอทจะทำงานเลียนแบบการทำงานที่มนุษย์ทำได้บนคอมพิวเตอร์ ยกตัวอย่างเช่น คีย์ข้อมูลลงแบบฟอร์ม กรอกข้อมูลในระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ERP CRM หรือระบบบัญชี การจัดการข้อมูล การย้ายไฟล์หรือโฟลเดอร์ การตรวจสอบไฟล์แนบในอีเมล การจัดทำรายงาน เป็นต้น โดยเครื่องมือนี้จะทำงานอัตโนมัติ ตามคำสั่งที่ตั้งค่าไว้อย่างแม่นยำตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง ช่วยลดต้นทุน และลดค่าใช้จ่ายทางด้านบุคลากร ทำให้องค์กรมีผลกำไรมากขึ้น และยังช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรได้อีกด้วย

องค์ประกอบหลักของการทำงาน RPA

องค์ประกอบหลักที่ทำให้เครื่องมือนี้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ดังนี้

ซอฟต์แวร์บอท

ซอฟแวร์เป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีนี้ โดยบอทจะเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์ผ่านทางคอมพิวเตอร์ เช่น ป้อนข้อมูล, ดึงข้อมูล, ส่งอีเมล, ประมวลผลเอกสาร และเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างระบบต่าง ๆ

ศูนย์ควบคุมบอท

ควบคุมและติดตามการทำงานของบอทให้เกิดประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังสามารถบันทึกประวัติการทำงานของบอท ตัวอย่างเช่น สามารถกำหนดตารางเวลาการทำงานของบอท หรือจัดการสิทธิ์การเข้าถึง

Workflow

ใช้สำหรับสร้างและออกแบบให้บอททำงานตามกระบวนการที่กำหนดไว้ ผู้ใช้สามารถออกแบบขั้นตอนการทำงานบอทได้โดยไม่จำเป็นต้องมีทักษะด้านการเขียนโปรแกรม แต่ต้องเข้าใจ Workflow การทำงาน

ประเภทของ RPA

Robotic Process Automation สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ Attended Bot และ Unattended Bot การเลือกใช้งานขึ้นอยู่กับลักษณะปริมาณของงาน และความคุ้มค่าในการใช้งาน โดยแต่ละประเภทจะมีข้อดี และข้อจำกัดที่แตกต่างกัน หัวข้อต่อไปจะอธิบายถึงความแตกต่างระหว่าง Attended และ Unattended ได้ชัดเจนและเข้าใจมากขึ้น

Attended bot

Attended Bot

Attended Bot คือบอทประเภทที่ต้องทำงานร่วมกับมนุษย์ จะทำงานต่อเมื่อมีคำสั่งจากมนุษย์ โดยพนักงานต้องกดปุ่มคำสั่งบนคอมพิวเตอร์ให้บอททำงานตามกระบวนการที่กำหนดไว้

Unattended bot

Unattended Bot

Unattended Bot คือบอทที่ทำงานอัตโนมัติ โดยไม่ต้องมีพนักงานกดปุ่มสั่งการ สามารถตั้งค่าเวลาการทำงานล่วงหน้าได้ และทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้ต้องวางแผนและกำหนดกระบวนการทำงานไว้ให้ถูกต้อง

RPA tools มีอะไรบ้าง

RPA Tools ยอดนิยม

ปัจจุบันมี Tools ให้เลือกหลากหลายระบบหลากหลายแพลตฟอร์ม ยกตัวอย่างเช่น OrangeWorkforce, PEGA, Redwood, Automation Anywhere, UiPath, Power Automate, Blue Prism ฯลฯ

เนื่องจากในประเทศไทยมีเครื่องมือและผู้ให้บริการให้เลือกหลายราย หลายท่านอาจมีคำถาม แล้วจะเลือกเจ้าไหนดี?

แนะนำเครื่องมือที่น่าสนใจ

แนะนำโปรแกรม OrangeWorkforce เป็นเครื่องมือที่มีความโดดเด่นและเหนือกว่าเจ้าอื่น ๆ ในปัจจุบัน OrangeWorkforce ถูกพัฒนาขึ้นมาในภูมิภาคเอเชีย ราคาจึงถูกออกแบบให้เหมาะสมกับธุรกิจในภูมิภาคเอเชียรวมถึงประเทศไทย โดยที่ประสิทธิภาพซอฟต์แวร์นั้นมีความทัดเทียมกับ Tools รายอื่นด้วยราคาที่ต่ำกว่า ทำให้ต้นทุนในการนำซอฟต์แวร์ไปใช้ในองค์กรอยู่ในราคาที่องค์กรสามารถจ่ายได้และคุ้มค่ากับการลงทุน ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายให้กับองค์กรได้เป็นจำนวนมาก

ผู้ให้บริการยอดนิยมในไทย

KSP AsiaFIN นอกจากจะให้บริการ OrangeWorkforce RPA แล้วยังมี OrangeVision Form+ เป็นเทคโนโลยีรู้จำอักขระด้วยแสง OCR ที่มาพร้อมกับ Machine Learning AI ที่ถูกพัฒนามาเพื่ออ่านไฟล์ PDF ไฟล์รูปภาพ PDF หรือไฟล์รูปภาพ และดึงข้อมูลออกมาเป็นรูปแบบตัวอักษรได้อย่างแม่นยำ และสามารถบูรณาการทำงานร่วมกันกับ OrangeWorkforce โดยสามารถนำข้อมูลตัวอักษรดังกล่าวไปดำเนินการต่อตามความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างไร้รอยต่อ เช่น ไปกรอกลงระบบบัญชี SAP หรือ ERP เป็นต้น

การใช้งาน Robotic Process Automation

การใช้งาน Robotic Process Automation มีความยืดหยุ่นสูง และสามารถปรับใช้ได้กับหลายกระบวนการในองค์กร โดยเฉพาะงานที่มีลักษณะชัดเจน ดังนี้

  • งานที่มีขั้นตอนซ้ำ ๆ และเป็นมาตรฐาน: เหมาะสำหรับงานที่ทำแบบเดิมซ้ำทุกวัน
  • งานที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมาก: Robotic Process Automation สามารถจัดการข้อมูลจำนวนมากได้รวดเร็ว
  • งานที่ต้องการความถูกต้องและแม่นยำสูง: เหมาะสำหรับงานที่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่ความเสียหาย
  • งานที่ต้องทำตลอดเวลา: ทำโดยไม่ต้องหยุดพัก และเหมาะกับงานที่มีเวลาจำกัด
  • งานที่ต้องดึงข้อมูลจากหลายระบบ: เหมาะกับสถานการณ์ที่ระบบต่าง ๆ ไม่สามารถเชื่อมต่อกันโดยตรง

ตัวอย่างการใช้งาน RPA ในธุรกิจจริง

Robotic Process Automation คือระบบอัตโนมัติที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรม ยกตัวอย่างเช่น ใช้ในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์, ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต, ใช้ในธุรกิจการเงิน เป็นต้น นอกจากนี้ยังนำมาใช้งานกับแผนกต่าง ๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น ใช้กับงานบัญชี, งาน HR (ฝ่ายบุคคล), งานแผนกไอที, งานแผนกจัดซื้อ หรือใช้กับงานของฝ่ายการตลาด ฯลฯ ตัวอย่างการใช้งาน RPA

ประโยชน์ของ rpa

ประโยชน์ของ Robotic Process Automation

มาถึงตรงนี้แล้วเราจะสรุปประโยชน์ว่า Robotic Process Automation ช่วยอะไรได้บ้าง มีข้อดีและจุดเด่นอย่างไร ทำไมองค์กรต่าง ๆ ถึงเริ่มให้ความสนใจ และมีแนวโน้มใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคที่องค์กรต้องปรับตัวในการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงกระบวนการและการทำงานในองค์กร เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน (Digital Transformation)

  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ทำงานรวดเร็ว และทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ช่วยแก้ปัญหาการทำงานไม่ทันกำหนด
  • ระบบอัตโนมัติสามารถทำงานร่วมกับระบบต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น
  • ลดความผิดพลาดที่เกิดจากพนักงาน (Human error) เช่น พนักงานกรอกข้อมูลผิด เป็นต้น
  • ช่วยลดงานที่ทำซ้ำ ๆ เดิม ๆ ของพนักงาน พนักงานจะได้มีเวลามาจัดการงานที่ใช้กลยุทธ์หรือความคิดสร้างสรรค์
  • องค์กรที่ต้องการขยายธุรกิจ หรือองค์กรที่เติบโตขึ้น ระบบจะเข้ามาช่วยทำงานได้โดยที่ไม่ต้องจ้างพนักงานเพิ่มขึ้น
  • ช่วยองค์กรหรือบริษัทของท่านลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน
  • สามารถทำงานได้ตลอดเวลา ไม่หยุดพัก ตรวจสอบสถานะการทำงานได้

RPA และ AI แตกต่างกันอย่างไร?

Artificial Intelligence

  • สร้างระบบที่สามารถคิด วิเคราะห์ และเรียนรู้ได้เอง
  • ใช้ข้อมูลเพื่อเรียนรู้และตัดสินใจเองแบบไดนามิก
  • สามารถเรียนรู้จากข้อมูล ปรับปรุงและพัฒนาการตัดสินใจโดยอัตโนมัติ
  • งานที่ต้องวิเคราะห์ข้อมูล, คาดการณ์แนวโน้ม, จดจำรูปแบบ, แปลภาษา ฯลฯ
  • ซับซ้อนและต้องการข้อมูลจำนวนมากเพื่อฝึกโมเดล
  • สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้

Robotic Process Automation

  • ทำให้กระบวนการทำงานซ้ำ ๆ เป็นอัตโนมัติ
  • ทำงานตามกฎและตรรกะที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
  • ไม่สามารถเรียนรู้จากข้อมูลได้ ต้องตั้งค่าและกำหนดขั้นตอนการทำงานล่วงหน้า
  • งานที่มีขั้นตอนซ้ำ ๆ เช่น คัดลอกข้อมูล, กรอกแบบฟอร์ม, ประมวลผลใบแจ้งหนี้
  • ค่อนข้างตรงไปตรงมาและเข้าใจง่าย
  • ทำงานได้เฉพาะงานที่กำหนดไว้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเองได้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ RPA

RPA คือเทคโนโลยีที่ช่วยให้องค์กรสามารถใช้ซอฟต์แวร์อัตโนมัติทำงานแทนมนุษย์สำหรับงานที่ซ้ำซ้อนและมีรูปแบบตายตัว เช่น การป้อนข้อมูล การดึงข้อมูลจากระบบ และการจัดการเอกสาร ช่วยลดข้อผิดพลาด เพิ่มความรวดเร็ว และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขององค์กร

การนำ Robotic Process Automation มาผสานรวมกับ Artificial Intelligence​ เพื่อเพิ่มความสามารถในการประมวลผลข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง เช่น การวิเคราะห์ข้อความหรือภาพ ทำให้ระบบสามารถตัดสินใจและดำเนินการได้อย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น

Robotic Process Automation มุ่งเน้นที่การทำงานอัตโนมัติในระดับงานย่อย ๆ ที่ซ้ำซ้อน ขณะที่ Business Process Management เป็นการจัดการและปรับปรุงกระบวนการธุรกิจทั้งหมด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลขององค์กร

องค์กรควรปฏิบัติตามมาตรฐานและแนวปฏิบัติที่ดี เช่น การกำหนดนโยบายการใช้งาน การจัดการความเสี่ยง และการประเมินผลกระทบ เพื่อให้การใช้งานซอฟต์แวร์อัตโนมัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

ความท้าทายรวมถึงการเลือกกระบวนการที่เหมาะสม การจัดการการเปลี่ยนแปลงในองค์กร และการบำรุงรักษาระบบ วิธีการแก้ไขคือการวางแผนที่ดี การฝึกอบรมพนักงาน และการมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลระบบ

Facebook
LinkedIn
x.com